วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน เจาะสาระ 13 ความเชื่อจีนเกี่ยวกับ ตายตาไม่หลับ

ต่อจากตอนที่ 13 

         องค์ชายตัวหลุน ( 多伦 พระเอก) พ่ายแพ้แก่ทัพเว่ยของแม่ทัพเซี่ยชี่เฉิน (谢弃尘)ที่มีมู่หลาน (木兰)เป็นหน่วยหน้า  จึงถูกท่านข่าน (可汗)เรียกตัวกลับไปรับโทษ

         แต่เขาก็ยังเป็นห่วงมู่หลานที่อาจจะถูกประหารชีวิตด้วยเหตุที่ปลอมตัวเป็นชายเข้ากองทัพ  เป็นห่วงถึงขั้นยอมเสี่ยงตายหาทางลักลอบเข้าไปกองทัพเว่ย  เพื่อจะพานางหนีไปกับเขา ไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับสงครามอีกต่อไป

        แต่เขากลับพบว่า มู่หลาน ได้เปลี่ยนสถานะจาก "ฮวาหู" เป็นหัวหน้าหน่วยยวี้ฉือ (ชื่อของหน่วยกล้าตายที่เดิมมียวี้ฉือกุงเป็นหัวหน้า)

        ตัวหลุนพบว่ามู่หลานเปลี่ยนไป  ไม่ใช่มู่หลานสาวปักผ้าคนเดิมอีกแล้ว  แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความรักที่ยังคงติดตรึงใจของทั้งสองคน

        บทพูดในหนังตอนนี้แสดงถึงตัวแทนความคิดของคนที่อยากจะปลีกตัวจากโลกที่วุ่นวาย

        ตัวหลุนกอดมู่หลานไว้  และถามว่า  ทำไมเราถึงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกไม่ได้  เราย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้มั้ย   ข้าเป็น "มั่วเจี้ยง"  ส่วนเจ้าก็เป็น "มู่หลาน"   เราจะไปที่ที่ไม่มีสงคราม  ใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุข  ข้าเลี้ยงม้า  เจ้าทอผ้า  ไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวโหยวหยาน ไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวเว่ย  แค่เราสองคนมีความสุขก็พอแล้ว

        แต่มู่หลานไม่ยอมหนีไปกับเขา  ยืนยันจะอยู่สู้เพื่อชาวเว่ย

        ทั้งสองคนเชื่อว่า  “ สงครามจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเท่านั้น ”
        แต่มู่หลานยังเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า   “ ผู้ก่อสงครามจะไม่มีวันชนะ” ( มั่วเจี้ยงบอกว่ารอพิสูจน์กันต่อไปว่าใครถูก)

         ในบทพูดฉากนี้  ผู้เขียนรู้สึกว่าผู้กำกับสร้างให้สองคนนี้คิดแตกต่าง  คนหนึ่งเทิดทูนความรัก  ส่วนอีกคนยังไงๆ ก็ต้องชาติมาก่อน

              
        
                                                         (ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์จีน)

        มู่หลาน ปล่อยตัวหลุนแม่ทัพฝ่ายศัตรูไป  โดยให้จู้จื่อส่งตัวหลุนออกจากค่ายเว่ยไป 
    
        ก่อนจากกัน  ตัวหลุนบอกลาจู้จื่อว่า

        ลาก่อนสหายหวู่เฟิ่งกู่ของข้า  เจอกันคราวหน้า "ข้าจะไม่ยั้งมือให้กับเจ้าอีก"  
        จู้จื่อบอกว่า "ข้าก็เช่นกัน"  
        หมายความว่า  ถ้าข้าเจอเจ้าในสนามรบคราวหน้า จะลงมือห้ำหั่นกันเต็มที่ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วนะ
 ....................................................

         เกร็ดวามรู้ตำราพิชัยสงครามซุนวู  ที่สอดแทรกอยู่ในหนังเรื่อง “มู่หลาน”

         ยุทธวิธีในหนังเรื่องนี้  เน้นการชนะกันด้วยสติปัญญา  การรู้เท่าทันฝ่ายตรงข้าม ( สำนวนจีนพูดว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง 知己知彼,百战百胜。) และการที่สามารถใช้กำลังที่น้อยกว่าชนะข้าศึกที่มีกำลังมากกว่า(สำนวนจีนใช้คำว่า 以少胜多)
   
         การที่ตัวหลุนรู้นิสัยของแม่ทัพเซี่ย  และมู่หลานก็รู้นิสัยของตัวหลุน  จึงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการแพ้ชนะ

         ในเวลาต่อมา  องค์ชายตัวหลุนได้รับโอกาสจากท่านข่านอีกให้สร้างผลงานไถ่โทษ (แพ้ศึกที่เฮยซัน-แพ้เพราะเสียงซอหัวหมาป่าของตัวเอง)  นำทัพยึดเมืองเซิ่งเล่อ  ซึ่งเป็นเมืองหัวใจของแคว้นเว่ยไว้ได้  และใช้วิธีตั้งรับอยู่แต่ในเมือง  ไม่บุก  ตัดเสบียงอาหารและบั่นทอนกำลังของทัพเว่ยไปเรื่อยๆ   แทบจะทำให้แคว้นเว่ยแพ้โดยที่ไม่ต้องรบ  จนฮ่องเต้แคว้นเว่ยร้อนใจอย่างหนัก  กดดันให้แม่ทัพเซี่ยชี่เฉินต้องหาทางชิงเมืองเซิ่งเล่อคืนให้ได้  ตอนนี้ก็งัดสารพัดวิธีเพื่อชิงเมืองคืน ( รายละเอียดเชิญดูจากซีรีย์จีน เรื่อง มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน เวอร์ชั่น 2013  ในไทยเรียกว่าเวอร์ชั่น 2015 )
 
           แม่ทัพตัวหลุนฝ่ายแคว้นโหยวหยาน ได้ทำการวิเคราะห์ความสำคัญของเมืองที่จะเข้าตี  สภาพภูมิประเทศ  ข้อได้เปรียบ - เสียเปรียบของฝ่ายตนและฝ่ายเว่ยในการทำศึกตามหลักพิชัยสงครามซุนวู  จึงชิงเมืองเซิ่งเล่อได้จนทำให้ฝ่ายเว่ยเกือบจะสิ้นชาติ    

           ส่วนมู่หลานเมื่อคราวบ้านเมืองคับขัน  ก็ใช้หลักการในตำราพิชัยสงครามซุนวู  ทำการ “โจมตีจุดอ่อนทางจิตใจ 攻心)ของตัวหลุนที่ยังมีใจรักในตัวนาง  รักในผ้าไหมปัก  จนตัวหลุนหลงกล พ่ายแพ้อย่างยับเยิน  โดนข่านผู้พ่อสั่งลงโทษปลดออกจากแม่ทัพ  อำนาจการทหารเปลี่ยนไปอยู่ในมือของ หวูถี (吴提) องค์ชายใหญ่ (ซึ่งเชื่อฟัง จินฉานจื่อ มหาอำมาตย์เจ้าเล่ห์ที่คิดจะชิงอำนาจ)   

            หลายคนดูแล้วรู้สึกเจ็บแค้นแทนตัวหลุน (พระเอก) ที่เสี่ยงชีวิตช่วยมู่หลานไว้หลายต่อหลายครั้ง แต่เธอกลับไร้น้ำใจถึงขนาดใช้ความรักที่เขามีต่อเธอมาเป็นอาวุธในการทำร้ายเขาเพื่อเอาชนะศึกชิงเมือง  ทำให้ตัวหลุนเสียใจจนไม่คิดจะพบกับนางอีกชั่วชีวิต 
          
            หนังสร้างให้แม่ทัพสองแคว้นนี้ถูกกดดันให้รบ  ตัวหลุนชีช้ำที่สุด  รักรันทด โดนพ่อด่า  โดนเลื่อยขาเก้าอี้  โดนผู้หญิง (มู่หลาน) หลอก  ถูกปลดจากแม่ทัพ  คนสนิท "ตั๋วซูเฟิง" ถูกเนรเทศให้ไปเลี้ยงม้า   จึงนั่งก๊งเหล้าแก้เก๊กซิมดับกลุ้มทั้งวัน
       
            ส่วนแม่ทัพเซี่ยก็โดนฮ่องเต้เจ้าอารมณ์กดดัน   


            อุทาหรณ์เตือนใจเรื่องคนไว้ใจใกล้ตัว  

            ต่อมาเมื่อหวูถีได้เป็นแม่ทัพใหญ่โหยวหยานโดยมีจินฉานจื่อเป็นกุนซือ  จินฉานจื่อวางแผนการรบผิดพลาดในยุทธการครั้งสำคัญ  จนเกิดการเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก  ฝ่ายโหยวหยานแพ้ศึกครั้งใหญ่  สูญเสียกำลังพลมากมาย  หวูถีเองก็ถูกลูกศรมู่หลานบาดเจ็บ
  
             จินฉานจื่อ ต้องการโยนผิดให้กับแม่ทัพหวูถี  จึงส่งสัญญาณให้ลูกน้องรู้ว่าจะปล่อยให้ หวูถี มีชีวิตรอดกลับไปถึงวังข่านไม่ได้   

             "ต้าน่า" จึงจัดการฆ่าหวูถี ผู้ซึ่งเชื่อใจและนับถือจินฉานจื่อเป็นอาจารย์   และถือโอกาสป้ายร้ายว่ามู่หลานเป็นคนฆ่าหวูถีตายคาสนามรบ  ทำให้ท่านข่านเห็นมู่หลานเป็นแม่มดหมอผี  เกลียดชังมู่หลานยิ่งขึ้น  กดดันให้องค์ชายตัวหลุนสาบานว่าถ้าพบมู่หลานอีก จะต้องฆ่านางเพื่อแก้แค้นให้กับหวูถีผู้เป็นพี่ชาย     

             องค์ชายหวูถี  เป็นตัวอย่างที่หลงไว้วางใจคนไม่ดีและต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนใกล้ตัว  ท่านข่านผู้เป็นพ่อก็ชะตากรรมเดียวกัน  หูเบา  ดูคนไม่เป็น   หลงไว้ใจคนไม่ดี  จนต้องตายด้วยน้ำมือของจินฉานจื่อเช่นกัน 
            
             หวูถีตายในสภาพที่ตาทั้งสองไม่ยอมปิดลง  (ต่อมา  ท่านข่านผู้เป็นพ่อก็ตายตาไม่ปิดเช่นกัน)
          
             จากบทความที่แล้ว มีผู้อ่านท่านหนึ่งส่งคำถามมาว่า  คนจีนมีความเชื่อเรื่องคนตายตาไม่ปิด (ไม่หลับ) อย่างไร ? 
                    

              คนจีนมีความเชื่อเรื่องตายแล้วตาไม่หลับอย่างนี้

             (1)  คนตายยังมีเรื่องที่เป็นห่วงอย่างมาก  ยังทิ้งความเป็นห่วงนั้นไปสู่สุขคติไม่ได้
   
             (2)  คนตายจะต้องได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง  การตายนั้นมีเงื่อนงำ  มีอะไรที่เจ็บแค้นใจหรือเสียใจสุดๆ  จึงยังไปสู่สุขคติไม่ได้

             
            จีนจึงมีสำนวนจีนโบราณคำหนึ่งว่า  死不瞑目  แปลว่า  ตายตาไม่หลับ

            ส่วนจะเป็นจริงตามนี้หรือไม่  อันนี้ก็ต้องไปสังเกตกันต่อไป
  

            ในหนังเรื่องนี้หมายถึง หวู่ถีแค้นใจที่ถูกคนที่ตัวเองวางใจเคารพนับถือมาทำกับตัวเองอย่างนี้ (ตอนหลังพระเอกช่วยทำให้ตาของหวูถีปิดลงได้)  ก็เรียกว่า 
死不瞑目  แปลว่า  ตายตาไม่หลับ

              ส่วนท่านข่านก็เจ็บใจที่หลงเชื่อจินฉานจื่อจนลูกชายคนโตตาย  ลูกชายคนรอง (พรเะเอกตัวหลุน) ถูกปลดเป็นสามัญชน  แถมตัวเองก็ต้องตายด้วยยาพิษจากคนของจินฉานจื่อที่ส่งมาเป็นพ่อครัวข้างกายอยู่นานถึง 7 ปี (กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว) จึงตายในอาการที่ "ตาไม่ปิด" เช่นกัน 

             ในฝั่งของแคว้นเว่ยก็มีคนแฝงกายซุ่มซ่อนอยู่ข้างฮ่องเต้เหมือนกัน   

             ทั่วป๋าเส้า ( 拓拔绍 อดีตรัชทายาทที่ถูกปลด  น้องชายของฮ่องเต้ทั่วป๋าเทา 拓跋焘 )  นอกจากตัวเองจะสลับฐานะกับองครักษ์ (罗昭 - หลัวเจา) หลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านหวู่เฟิ่งกู่นานถึง 15 ปีแล้ว  เขายังได้ส่งลูกๆ ของอดีตคนที่ภักดีต่อเขาให้ไปสมัครเป็นทหารองครักษ์ซุ่มตัวอยู้ข้างตัวของฮ่องเต้ทั่วป๋าเทาเพื่อหาโอกาสลอบสังหารฮ่องเต้นานถึง 8 ปี  โดยที่ฮ่องเต้ก็ไม่ระแคะระคายเช่นกัน    

              แม่ทัพเซี่ยชี่เฉินที่ไม่เคยรบแพ้ใคร  ก็ต้องมาจบชีวิตด้วยดาบของทหารองครักษ์ฮ่องเต้ (คนของทั่วป๋าเส้า) ซึ่งมีฝีมือธรรมดาที่แทงจากด้านหลัง  แบบโดนแทงทีเผลอ

              เราก็เคยเห็นตัวอย่างแบบนี้นอกจอในยุคปัจจุบันด้วย  ในประวัติศาสตร์โลก ก็มีผู้นำบางประเทศเสียชีวิตโดยถูกองครักษ์ข้างกายสังหาร

              ฉากที่แม่ทัพเซี่ยตาย  น่าสงสาร และน่าเสียดายมาก  ผู้กำกับไม่น่าบอกให้เขาตายง่ายๆ แบบนี้เลย   ไม่มีโอกาสได้ร่ำลามู่หลาน  ทั้งที่แอบรักและคอยปกป้องมู่หลานมาโดยตลอด                   

              แต่นั่นแหละ ถ้าไม่กำกับให้แม่ทัพเซี่ยตาย  แล้วมู่หลานจะมีโอกาสเป็น "แม่ทัพ" ได้อย่างไรล่ะ (ในเรื่องมู่หลานเวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มา ไม่เคยมีบทที่มู่หลานเป็นแม่ทัพ  หนังเวอร์ชั่นนี้สร้างแต่งเติมให้เหนือจริงไปมาก)

              ในหนังเรื่องนี้ แม่ทัพเซี่ยเป็นลูกผู้ชายที่น่านับถือมาก  ไม่มีการชิงรักหักสวาท  แม้จะพยายามบอกมู่หลานให้ลืมความหลังที่มีกับตัวหลุนก็ตาม

              หลังแม่ทัพเซี่ยตาย มู่หลานถึงได้รู้ว่า ภาพปักที่เธอปักเป็นรูปหน้าแม่ทัพเซี่ยเมื่อครั้งที่แม่ทัพเซี่ยไปคัดเลือกแม่งานปักผ้าสินเจ้าสาวที่อู่เฟิ่งกู่นั้น  แม่ทัพเซี่ยยังเก็บติดตัวไว้ตลอด ( เป็นเวลาร่วมสิบปี)  ซึ่งเป็นนัยว่า แม่ทัพเซี่ยมีใจต่อเธอ จึงยังคงเก็บผ้าผืนนั้นไว้กับตัว แต่เขาก็ไม่เคยแพร่งพรายให้มู่หลานรู้ความในใจเลย  
              
              ต่อจากนี้ไปก็จะไม่มีบทของแม่ทัพเซี่ยที่ผู้เขียนถือว่าเขาเป็นพระรองของเรื่องอีก   นอกจากป้ายวิญญาณที่ตัวหลุนกับมู่หลานไปคารวะตอนใกล้จบเท่านั้น                      

                                                      
  
     วันนี้ยังไม่ได้ทำรูปประกอบเรื่องรูปใหม่  ขอเอารูปเก่าลงประกอบซ้ำ

     สำนวนจีน  敌暗我明 ศัตรูอยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่แจ้ง


                                                                   ................................
                          
                               ขอปิดท้ายบทความนี้ด้วยสำนวนจีนอมตะที่เคยเขียนไว้ 

สุดยอดสำนวนจีนอมตะ 

谚语 Chinese Idioms

ภาษิตจีนโบราณ


害人之心不可有,防人之心不可无。

(1) จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิพึงมี การระวังผู้อื่นมิควรขาด

(2) ไม่ควรคิดร้ายใคร แต่พึงระวังคนคิดร้ายเรา

สำนวนจีนนี้หมายความว่า

"จงอย่ามีจิตใจที่จะคิดร้ายต่อผู้อื่น" ขณะเดียวกัน

 "ก็พึงระวังคนไม่ดีที่จะคิดร้ายกับเราไว้บ้าง"

คล้ายคำไทยที่ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน"  

ดูสำนวนจีนนี้เพิ่มเติม  คลิกที่นี่

.......................


                                                            ภาพนี้เป็นภาพเปิดตัวซีรีย์ เมื่อ 2013 ที่จีน


                    ขอบคุณภาพประกอบจาก 新浪网  http://news.sina.com.cn/



ภาพล่าง เหอเจี้ยนเจ๋อ นักแสดงเป็นองค์ชายหวูถี 
เป็นคนที่มีความรักมั่นคง เป็นตัวละครที่น่าเห็นใจและน่าสงสารคนหนึ่ง
เพราะน้อยใจที่พ่อให้ความวางใจน้องชายมากกว่าตัวเอง 
อยากได้ความรักตอบจากหญิงที่ตนรัก   
จึงหลงเชื่อใจและนับถือจินฉานจื่อ   
ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของคนที่ตนหลงไว้ใจ จึงตายตาไม่ปิด

.......................

เพิ่มเติม
เกร็ดประวัติศาสตร์จริง (แต่เรื่องในหนังไม่ตรงกับประวัติศาสตร์)
ผู้เขียนไปค้นมา พบว่า หวูถี มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เผ่าโหยวหยาน 柔然

หวูถี เป็นข่านองค์ 11 และองค์สุดท้ายของโหยวหยานโบราณ ( ค.ศ. 429 - 444) 
และได้อภิเษกสมรสกับ องค์หญิงซีไห่ จากแคว้นเว่ยเหนือ
ต่อมาแคว้นโหยวหยานและแคว้นเว่ยเหนือมีการทำสงครามกันอีกหลายครั้ง 
และในปี 444 แคว้นเว่ยเหนือเป็นฝ่ายชนะ 


อ้างอิงจาก  http://baike.baidu.com/view/2610706.htm

(ขอบคุณภาพจาก เว็บไซต์ 八目鱼)






 หนังสร้างได้สนุกน่าติดตามมาก  

ตอนต่อไปจะเขียนถึงแนวการสืบสวน 

พบกับเจาะสาระมู่หลานตอนต่อไปค่ะ



ขอบคุณทุกคลิกทุกความคิดเห็นตั้งแต่ตอนแรก - ตอนปัจจุบัน
Flag Counter

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เจ้าของรางวัลมากมาย กับผลงานใหม่ หนังผีแนวสืบสวน



เขียนเกี่ยวกับหนังจีนมาหลายตอน วันนี้ขอออกจากแนวมาเขียนถึงผู้กำกับหนังไทยบ้าง
ที่เขียนถึงเขา  เพราะเห็นว่าผลงานที่เขาสร้างออกมา  นอกจากจะมีความคิดสร้างสรรค์ไม่จำเจ
ไม่ยึดอยู่กับการตามกระแสตลาดแล้ว  ยังเป็นหนังไทยที่มีคุณภาพ  แฝงสาระ  แง่คิดผ่านการบันเทิง


คุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง  เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ระดับนานาชาติ  
เพราะหนังของเขาได้รับการยอมรับและได้รางวัลจากวงการภาพยนตร์นานาชาติหลายรางวัล

        คุณวิศิษฏ์จริงจังและทุ่มเทให้กับการสร้างงานมาก จนไม่ค่อยได้พักผ่อนและดูแลตัวเอง  หลังจากสร้างเรื่อง "อินทรีย์แดง" เมื่อ 5 ปีก่อน  คุณวิศิษฏ์ก็หยุดสร้างหนังไประยะหนึ่ง  เนื่องจากเรื่องสุขภาพ

        เร็วๆ นี้  ได้ข่าวว่าคุณวิศิษฏ์ ได้เปิดตัวหนังสือนวนิยายเรื่องแรกที่เขาเขียนเอง  ซึ่งเป็นแนวสืบสวนฆาตกรรมเรื่อง "รุ่นพี่" จัดพิมพ์โดยสถาพรบุ๊คส์  และมีการสร้างเป็นหนังผีวัยรุ่นชื่อเดียวกัน กำหนดเข้าฉายในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ด้วย  

         แนวการสร้างหนังของเขามีความคิดใหม่ๆ  ไม่เหมือนใครเสมอ  จากผลงานที่ผ่านมาของเขา  ทำให้หนังผีเรื่อง “รุ่นพี่”  หนังเรื่องใหม่ของเขาได้รับความสนใจมากจากแฟนหนังไทยที่เคยเห็นฝีมือมาแล้ว  

        เมื่อพูดถึงคุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง  เราก็จะนึกถึงผลงานเด่นๆ ของเขาในวงการหนังไทยและหนังโฆษณาที่ผ่านมา  ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ 2499 อันธพาลครองเมือง” ( หนังดังในปี 2540)  และ “นางนาก” ที่คนดูแน่นโรงทุกรอบในตอนนั้น  ( ปี 2542)   ผลงานกำกับการแสดงของเขาเองเรื่อง “ฟ้าทลายโจร” (หนังแนวย้อนยุคคลาสสิค) ที่ได้รับรางวัลจากงานภาพยนตร์นานาชาติที่แวนคูเวอร์ในปี 2543  กับผลงานกำกับอีกเรื่อง คือ  “หมานคร” (สร้างปี 2543 ) หนังแนวสะท้อนสังคมเมืองที่ได้รับรางวัลหลายรางวัล

        ส่วนในด้านผลงานโฆษณาเด่นๆ ของเขา  ที่ผู้เขียนเห็นว่ามีแนวคิดและวิธีการสื่อที่ “ดีเยี่ยม” ก็มีจำนวนมาก  แต่ละชุดก็มีไอเดียสร้างสรรค์และดึงดูดความสนใจของคนดู จนเป็นที่ติดหูติดตาติดปาก  
เท่าที่เหล่าซือจำได้ก็เช่น โฆษณาของห้างเซ็นทรัล ชุด “อาม่าอยากไปเซ็นทรัล”   โฆษณาของเอ็มเคสุกี้ ชุด “ผักเดินได้”  ชุด “กินอะไร ไปกินเอ็มเค”  (ใช้ทำนองเพลงของ “มองอะไร” )  และโฆษณาธนาคารกรุงไทย ชุด “เงินกำลังจะหมุนไป” (2552) ฯลฯ  
ซึ่งแต่ละเรื่อง คุณวิศิษฏ์จะเป็นคนคิดเอง คัดเลือกตัวแสดงเอง ตัดต่อเอง  บางเรื่องจะออกแนวย้อนยุคผสมผสานกับแนวสนุกสนาน

คุณวิศิษฏ์  จบคณะมัณฑนศิลป์  รั้วศิลปากร  เป็นคนมีความสามารถและพรสวรรค์ในการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก  ชอบอ่านหนังสือนวนิยายแนวสืบสวนมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน   คู่ชีวิตที่คอยดูแล  เคียงข้าง และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการงานเขาคือ คุณศิริพรรณ เตชจินดาวงศ์  ( นักเขียนนวนิยาย  เจ้าของนามปากกา “คอยนุช”  จบคณะวารสารฯ  รั้วธรรมศาสตร์ )
 คุณวิศิษฏ์และคุณศิริพรรณเริ่มทำงานโฆษณาในตำแหน่งครีเอทีฟ และผ่านการทำงานในบริษัทโฆษณาดังๆ  หลายบริษัท  


"รุ่นพี่" น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องของคุณวิศิษฏ์ ที่จะคว้ารางวัลมาให้กับวงการหนังไทย


ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ สถาพรบุ๊คส์

............................

ตัวอย่างหนัง "รุ่นพี่" ในยูทูป


 



 หนังไทยที่กำกับโดยคุณวิศิษฏ์  ได้มีโอกาสไปสู่เวทีหนังนานชาติ และได้รับรางวัล อาทิ
(ส่วนนี้อ้างอิงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วิศิษฏ์_ศาสนเที่ยง)
 ภาพยนตร์เรื่อง ฟ้าทลายโจร
* ได้รับรางวัล Dragons & Tigers award for young cinema จาก Vancouver Film Festival, Canada ในปี ค.ศ. 2000  (2543)
* เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับการคัดเลือกเข้าชิงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เมืองคานส์ปี ค.ศ. 2009 อย่างเป็นทางการในสายอันเซอร์เทิล รีการ์ต (Un Certain Regards) หรือ ภาพยนตร์ที่น่าจับตามอง

ภาพยนตร์เรื่อง หมานคร
ได้รับรางวัล สุพรรณหงศ์ ปี ค.ศ. 2004  (2549) สาขาการสร้างภาพพิเศษยอดเยี่ยม  
ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศในปี ค.ศ. 2004 อีกหลายประทศ เช่น 
งานดรากอล แอนด์ ไทเกอร์ ซีรีส์ (Dragons & Tigers Series) ในเทศกาลแวนคูเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เฟสติวัล (Vancouver International Film Festival)
ได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์แฟนตาเซีย (FANTASIA : NORTH AMERICA’S PREMIER GENRE FILM FESTIVAL) ที่ Montreal ประเทศแคนาดา ครั้งที่ 10   

คว้ารางวัลรางวัลมหาชน Best Asian Film (Bronze Prize) และ Most Groundbreaking Film (Silver Prize)
ได้รับการยกย่องให้เป็น ใน 10 ของหนังที่ดีที่สุดในโลกปี ค.ศ. 2004  จากนิตยสาร ไทม์แมกกาซีน 

ได้รับรางวัลศิลปาธร สาขาภาพยนตร์ ครั้งที่ ประจำปี พ.ศ. 2549 จัดโดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม 
เป็นรางวัลจัดขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุน ส่งเสริม ยกย่อง เชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยให้มีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ



วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน เจาะสาระ 12 แม่ทัพ ผู้นำ ตามหลักพิชัยสงครามซุนวู



将者,智、信、仁、勇、严也。

(孙子兵法)

คุณสมบัติที่ แม่ทัพ ผู้นำ พึงมี 

สติปัญญา สัจจะ เมตตาธรรม
ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ความเข้มงวดและวินัย
(พิชัยสงครามซุนวู) 


古代汉语 ภาษาจีนโบราณ
ภูมิปัญญาจีนโบราณ - องค์ความรู้ที่นำมาปรับใช้กับการบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบันได้ด้วย
บทความโดย สุวรรณา สนเที่ยง  张碧云
2015-11-19

           จุดประสงค์ในการเขียนเรื่อง "มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน" เวอร์ชั่น 2013 หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "มู่หลาน 2015" นี้  ก็เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่มีหลายมิติ  ไม่ใช่แค่เน้นการรรักชาติ กตัญญู  หากแต่ยังมีสาระ  แฝงแง่คิด ปรัชญาชีวิตมากมาย  เป็นหนังแนวโบราณก็จริง  แต่แนวคิดไม่โบราณเลย  อยากบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทั้งแง่การใช้ภาษาและอื่นๆ

            ดูหนังเรื่องมู่หลานฯ เวอร์ชั่นนี้แล้ว ก็อยากให้ประเทศต่างๆ เลิกทำสงครามแย่งชิงทรัพยากร หันมาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน  ร่วมมือกัน  คนจะได้ทำมาหากินอย่างสงบ ร่ำรวยไปด้วยกัน

             การส่งองค์หญิงจากแคว้นหนึ่งไปแต่งงานกับอีกแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์เกี่ยวดองเป็นญาติ  เป็นวิธีการโบราณ  แต่โลกปัจจุบันถือเป็นสัญลักษณ์ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ


            เมื่อเรามาดูสถานการณ์โลกปัจจุบัน  เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น  ผู้บริสุทธิ์ล้มตายจำนวนมาก  และยังเกิดผลกระทบไปทั่ว  กระทบความรู้สึกปลอดภัยในชีวิต กระทบเศรษฐกิจ  กระทบการท่องเที่ยว (รายได้ของแต่ละชาติ) ฯลฯ

            ในแง่ของการเรียนภาษา  หนังเรื่องนี้มีรูปประโยคการสนทนาภาษาจีนที่เข้าใจได้ไม่ยาก และภาษาที่ซับซ้อนเข้าใจยาก (เหมาะกับคนเรียนภาษาจีนขั้นสูงที่อยากพัฒนาทักษะการฟัง ความเข้าใจ การแปล ฯลฯ  อันนี้ต้องยกความดีให้กับผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ )  มีการใช้คำเชื่อม  คำย้อนถาม ฯลฯ   มีสำนวนจีนโบราณสอนใจอมตะ  ลึกซึ้ง  มีการอุปมาให้เห็นชัด  มีภาษาชาวบ้านที่พูดตรงๆ  กับมีคำพูดที่แฝงนัยความหมายที่ต้องอาศัยการตีความ

            แนวการเขียนของผู้เขียนก็ยังคงอยู่ในโหมดเดิม คือ เรื่องจีนๆ ภาษาจีน วัฒนธรรมจีน การศึกษา ฯลฯ  เพื่อความ "เข้าใจจีน" ซึ่งเป็นกระแสโลกตอนนี้

            การเขียนเรื่อง "มู่หลาน" ก็ยังอยู่ในโหมดนี้  เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการเล่าหนังแทนการเขียนแนววิชาการ  คนที่เคยเรียนกับเหล่าซือ จะรู้ว่าเหล่าซือชอบสอนนอกตำราเล่าหนังจีนอมตะหรือตำนานจีนในห้องเรียนอยู่เสมอ  เพราะถือหลักว่า  การเรียนภาษาต้องควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านวัฒนธรรม อารยธรรม ปรัชญา วิธีคิด  จึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของภาษานั้นๆ  จึงจะ "เข้าใจจีน" และคุยกับคนภาษานั้นได้ "รู้เรื่อง"  การเล่าหนัง เล่านิทาน ยังเป็นการทำให้จำแม่นกว่าการอ่านตำราด้วย
  
           ในด้านเนื้อหา  หนังเรื่องนี้นอกจากจะมีการสอดแทรกให้ผู้ชมเห็นของดีจีน - ภูมิปัญญาจีนมาแต่โบราณ วัฒนธรรม วิธีคิดแบบจีนแล้ว  ผู้เขียนมองว่าหนังเรื่องนี้ยังสะท้อนการเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   นโยบายต่างประเทศ  นโยบายพัฒนาประเทศ  ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการสู้รบ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีมาแต่โบราณ  แต่ก็ยังไม่ล้าสมัยในโลกปัจจุบัน ( ข้อสังเกตส่วนตัวผู้เขียน - คำพูดหลายๆ คำที่ตัวละครพูด  เราก็ได้ยินผู้นำจีนพูดคล้ายๆ กันในแนวเดียวกันด้วย )    
           
             หลังจากที่เขียนเรื่อง เจาะสาระ "มู่หลานฯ " มา 12 ตอน  ก็มีผู้อ่านส่งกำลังใจมาให้ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์  บางท่านบอกว่าติดตามอ่าน คอยคลิกเข้ามาดูบ่อยๆ ว่าอัพตอนใหม่แล้วหรือยัง  บางท่านบอกว่าดูหนังแล้วมาอ่าน  ทำให้สนุกออกรสยิ่งขึ้น เข้าใจมากขึ้น  แตกความคิดและไปค้นหาความรู้เรื่องอื่นๆ เพิ่มได้อีกหลายแง่มุม

             ส่วนผู้อ่านที่ขอมา อยากให้หาเบื้องหลังการถ่ายทำมาให้ดูเพิ่มนั้น  ลองหาดูแล้วแต่ได้ไม่มาก  เนื่องจากซีรีย์เรื่องนี้ถ่ายทำตั้งแต่ปี 2011  (ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 1 ปี)  แพร่ภาพในจีนเมื่อสองปีก่อน 2013  ข้อมูลบางส่วนอาจถูกลบออกไปจากเว็บแล้ว ( ตอนนี้ได้นำภาพส่วนที่พอหาได้พ่วงไว้ตอนท้ายเรื่องนี้  ถ้าหาได้อีกก็จะทยอยเพิ่มเติมในโพสต์ต่อไป )

            ส่วนที่เป็นฉากและเรื่องราวการสู้รบในภาคหลัง (ต่อจากภาคปักผ้า) นี้  ผู้เขียนพยายามจะตัดย่อให้สั้นที่สุด  เพราะซีรีย์ใกล้จะจบแล้ว  เขียนไม่ทัน อีกอย่างก็คือผู้เขียนไม่ถนัดเรื่องนี้่ และไม่ชอบสงครามด้วย ( บางฉากบางตอนก็ไม่ดูหรือดูผ่านๆ )  
    
            ตอนที่แล้วเขียนถึงเรื่องยุทธวิธีในการทำศึก (ยกแรก ตอนนี้ในหนังไปถึงยกที่สองแล้ว ) ระหว่างแม่ทัพองค์ชายตัวหลุนกับแม่ทัพเซี่ยชี่เฉินที่มีมู่หลานเคียงบ่าเคียงไหล่ ( ซึ่งเป็นการรบสองรุมหนึ่ง  แถมยังเป็นสองคนที่รู้จักนิสัยส่วนตัว รู้จุดอ่อนของแม่ทัพตัวหลุนเป็นอย่างดีด้วย ) ตัวหลุนจึงแพ้ศึกครั้งแรกในชีวิต  อย่างนี้ในสำนวนจีนก็ใช้คำว่า  知己知彼、百战百胜。( รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ) ได้เหมือนกัน

            ต่อมา  ยุทธการที่เมืองเซิ่งเล่อ  ตัวหลุนมีโอกาสฆ่ามูหลาน แต่เขาก็ฆ่าไม่ลง  จึงแกล้งทำเป็นฟันดาบลงไป  และปล่อยให้เธอรอดชีวิตกลับไป  แถมยังเสี่ยงชีวิตขี่ม้าเอายาแก้พิษธนูมาให้มู่หลานถึงค่ายทัพเว่ย ( คนรักแท้แบบนี้ในโลกนี้ยังหาได้อีกมั้ย )

            และมีอีกตอนหนึ่ง มู่หลานมีโอกาสฆ่าตัวหลุน  แต่เธอก็ฆ่าเขาไม่ลงเช่นกัน  บอกให้เขารีบหนีไป แม่ทัพเซี่ยกำลังจะมาถึง

            หลังจากนั้น แม่ทัพเซี่ยถามมู่หลานว่า " ได้ยินว่าตอนนั้นเจ้ามีโอกาสฆ่าเขา  แต่ทำไมเจ้าไม่ทำ  ข้าไม่อยากเห็นเจ้าผิดพลาดตามรอยของตัวหลุน " (หมายถึงแพ้เพราะใจรักที่ผูกพัน ใจอ่อนต่อศัตรู)

            ผู้กำกับกดดันจิตใจคนดูจริงๆ เลย  แม่ทัพเซี่ย บุคคลในอุดมคติก็ช่างใจร้าย แต่ก็พยายามเข้าใจว่าในเหตุการณ์จริงความพ่ายแพ้กำหนดชะตากรรมของชาติตนเอง


           ในตอนหนึ่งของหนัง ได้มีการโยงถึงบทหนึ่งในตำราพิชัยสงครามซุนวูที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของแม่ทัพ หรือผู้นำ ผู้เขียนจึงไปหาข้อความภาษาจีนพิชัยสงครามเฉพาะบทนี้ และถอดความภาษาไทยคร่าวๆ มาฝาก ( แต่ไม่ดูเรื่องอื่นในตำราพิชัยสงครามเลย เพราะไม่ถนัด )


     สองตัวละครเอกในเรื่องนี้ ต่างก็มีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพที่สุดยอดทั้งคู่   
     สองคนนี้ต่างก็ชื่นชมอีกฝ่าย แต่ทั้งคู่ไม่มีโอกาสสู้กันตัวต่อตัวในสนามรบจริง
     ซึ่งต่อมา ตัวหลุน ได้พูดถึง แม่ทัพเซียชี่เฉินว่า "เป็นสหายและคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดของข้า"

...................................................
     
            จากบทความที่แล้ว (เจาะสาระตอนที่ 12 ของผู้เขียน)  เรื่องเกี่ยวกับหลักการทำศึกตามตำราพิชัยสงครามซุนวู  มีผู้อ่านท่านหนึ่งกรุณาแสดงความเห็นมาไว้น่าสนใจมาก  ได้ขออนุญาตเจ้าของความเห็นแล้ว  จึงนำมาโพสต์ไว้ในบทความนี้ และขอขอบคุณมาในโอกาสนี้ด้วย        
     
           ผู้อ่านคุณ Tapootum Tapootum  เขียนว่า

          " ดูเรื่องนี้แล้วต่อยอดไปในหลายๆเรื่อง ตอนนี้ก็ไปหาอ่านพิชัยสงครามเพราะสงสัยตอนทหารได้รับบาดเจ็บแล้วท่องว่ามี อย่างที่ต้องใช้ในการทำศึก ดูแล้วก็สงสัยว่าบางข้อมาเกี่ยวอะไรด้วย พอได้รู้ข้อมูลก็รู้สึกทึ่งมากๆ กับภูมิความรู้ของคนยุคก่อนๆ ค่ะ "

           " จำไม่ได้ว่าตอนที่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าตอนที่เสี่ยวซันจื่อทำแผลให้ทหารบาดเจ็บ ระหว่างทำแผลคงเจ็บมากเลยให้กัดผ้า แต่คงเอาไม่อยู่เลยท่องอะไรออกมามั่วๆ เป็นคนที่รบไม่เก่งแต่ชอบอ่านพิชัยสงครามน่ะค่ะ  แล้วเสี่ยวซันจื่อก็ช่วยท่องด้วย  เหมือนหมอเบนความสนใจเพื่อช่วยไม่ให้คนไข้เจ็บมากน่ะค่ะ  เค้าท่องห้าสิ่งที่ต้องประเมินเมื่อทำสงคราม  เพราะสงครามแพ้ - ชนะเป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมือง  เค้าบอกว่าต้องคำนึงถึง

      ---...ธรรมในการปกครองให้ประชาชนรู้สึกรวมใจเป็นหนึ่งเดียวในการต่อสู้เพื่อชาติ  

      ---   ฟ้า สภาพดินฟ้าอากาศฤดูกาล

      ---   ดิน สภาพภูมิประเทศพื้นที่ๆ จะเข้าไปทำศึก

      ---   แม่ทัพ ถ้าผู้นำไม่ดี ไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เมตตา สติปัญญาจำกัด ก็ยากจะรบชนะ

      ---   สุดท้ายคือระเบียบวินัย  ถ้าไม่มีการจัดการที่ดีการส่งเสบียง กำลังหนุน หรือการให้คุณให้โทษในกองทัพ ถ้าไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ก็จะพ่ายศึกในที่สุดค่ะ "



          ความเห็นคุณ Tapootum Tapootum เพิ่มเติม  " นี่แค่ ตำราพิชัยสงครามของซุนวูบทแรกเองจากที่เขียนไว้ 13 บท  พออ่านไปเรื่อยๆ เค้าบอกว่าเป็นความรู้ล้ำค่าของโลก  แปลไปหลายภาษาทั่วโลก  ไร้ข้อโต้แย้ง  ก็เลยทึ่งมากๆ ตรงนี้แหละค่ะ ว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงตกตะกอนทางความคิดแล้วเขียนมาเป็นคัมภีร์ให้คนยุคนี้ได้ศึกษามาหลายยุคหลายสมัย  มันดีที่สุดเลยที่ได้เรียนรู้ค่ะ  สนุกมากเลยค่ะ " 
                     
                                  .............................................................................................

            ลักษณะคนที่ขาดภาวะความเป็นผู้นำ  แม่ทัพที่ขาดสติปัญญา  หูเบา  ขาดความสามารถในการแยกแยะปัญหา  ขาดการมองการณ์ไกล ยังได้สะท้อนผ่าน "ท่านข่านต้าถาน" และ  "องค์ชายหวูถี" ในหนังเรื่องนี้


            ตอนที่แล้วผู้เขียนสรุปค่อนข้างรวบรัด   เล่าข้ามสาระที่น่าสนใจส่วนหนึ่งไป  บทความนี้จึงอยากย้อนกลับไปพูดถึงอีกครั้ง

            (ก่อนจะท่านข่านจะประกาศศึก) ฉากที่องค์ชายตัวหลุนกลับถึงโหยวหยาน แล้วแสดงความเห็นคัดค้านการเปิดศึกกับแคว้นเว่ย  
             เขาพูดโต้ตอบกับท่านข่านและจินฉานจื่อ (มหาอำมาตย์แห่งแคว้นโหยวหยาน)

             จินฉานจื่อต้องการให้รบ  ท่านข่านก็บอกชัดเจนว่า  เป้าหมายของการทำสงครามคือไปยึดทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ที่แถบจงหยวน (ซึ่งรวมแคว้นเว่ยอยู่ด้วย) เพื่อทางรอดของโหยวหยานและการขยายอิทธิพลของโหยวหยาน 
             ( วิสัยทัศน์หรือนโยบายของท่านข่านคือ  สร้างความมั่งคั่งด้วยการใช้กำลังทหารไปตีและยึดเอาทรัพยากรของชาติอื่น)
          
             ตัวหลุนพยายามพูดโน้มน้าวให้พ่อเห็นด้วยกับการไม่รบ ว่า 
             " ทุกครั้งที่เราทำสงคราม ชิงช่วงทรัพย์สินได้มากมาย  
               แต่ทุกครั้งที่รบก็ต้องสูญเสียชีวิตคนมากมาย  
               องค์หญิงแคว้นเว่ยแต่งมาเชื่อมสัมพันธ์เป็นเรื่องดี  
               แคว้นเว่ยอุดมสมบูรณ์   ไพร่พลเข้มแข็ง  
               แต่สิ่งที่ลูกหวาดหวั่น  ไม่ใช่ทหารและม้าศึกของแคว้นเว่ย  
               หากแต่เป็นอารยธรรมของชาวจงหยวน ( 并不是魏国的兵马,而是中原的文明) * ตัวหลุนพูดถึงศึกษาอารยธรรม   ไม่ใช่วัฒนธรรม 
             ( วิสัยทัศน์หรือนโยบายของตัวหลุนคือ สร้างความมั่งคั่งจากการใช้สติปัญญา ศึกษา เรียนรู้ข้อดีของชาติอื่นและความร่วมมือ)     
  
             ท่านข่านพูดว่า  "อารยธรรมที่เจ้าพูดหมายถึงผ้าไหมเครื่องปั้นเครื่องเคลือบหรือ หากเรายึดแคว้นเว่ยได้ ของพวกนั้นก็จะตกเป็นของเรา  อารยธรรมมีอะไรน่ากลัว ? "

              ตัวหลุนตอบว่า 
              อารยธรรมไม่ใช่ผ้าไหมเครื่องปั้นเครื่องเคลือบ  แต่เป็นความรู้ที่คิดค้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาสั่งสมสืบต่อกันเป็นเวลานาน  นี่แหละคืออานุภาพของอารยธรรม ( 绵延千年的积淀,这就是文明的力量。)
              ตัวหลุนพูดต่อว่า อารยธรรมไม่เพียงสร้างความมั่งคั่ง ยังทำให้ประเทศนั้นแผ่อิทธิพลไปได้ไกลอีกด้วย  อย่างสกุลทั่วป๋าแห่งเซียนเปย  เดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้า  แต่เพราะผสานเข้ากับอารยธรรมของจงหยวน (หมายถึงเรียนรู้จากชาวจีนฮั่น) สถาปนาแคว้นเว่ย  จนกลายเป็นแคว้น (ประเทศ) ที่เข้มแข็ง  นี่คืออานุภาพของอารยธรรมจงหยวน (หมายถึงอารยธรรมจีนฮั่น) ทำไมเราไม่เลิกคิดทำสงคราม หันไปเรียนรู้อารยธรรมจงหยวน  เพื่อให้โหยวหยานเราเจริญเข้มแข็งอย่างแท้จริงล่ะ

               จินฉานจื่อโต้ว่า  ที่สกุลทั่วป๋า (วงศ์ฮ่องเต้แคว้นเว่ย) ได้ครองแผ่นดินวันนี้  ก็ล้วนแต่มาจากการทำสงครามทั้งนั้น
  
          ตัวหลุนโต้ว่า แต่ความเข้มแข็งและความเจริญ (ของประเทศ) นั้นไม่ควรพึ่งพาการทำสงคราม (而强盛不能依靠战争)

          จินฉานจื่อพูดว่า ความแค้นโหยวหยานกับชาวเว่ย สั่งสมมาหลายสิบปี  มีคนตายด้วยน้ำมือชาวเว่ยมากมาย

          ตัวหลุนพูดว่า เราจะจมอยู่กับอดีต จนไม่มองอนาคตไม่ได้
                .....................................................  

เกร็ดภาษาจีนจากเหล่าซือสุวรรณา 中文知识点滴
汉语近义词  คำศัพท์จีนชวนสับสน 
ความแตกต่างระหว่างคำว่า  文明 กับ 文化
文明 แปลว่า อารยธรรม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Civilization 
文化 แปลว่า วัฒนธรรม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Culture

ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ
อารยธรรม 文明  หมายถึงองค์ความรู้ ที่มนุษย์พัฒนาจากการล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์เป็นอาหาร มาเป็นการรู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า ทำกระดาษ  ผลิตของใช้ ฯลฯ เป็นการพัฒนาต่อยอดจากวัฒนธรรม
วัฒนธรรม  文化 หมายถึง ความเชื่อ ภาษา การแต่งกาย วิถีชีวิต แนวคิด ขนมธรรมเนียม  ศิลปะ การกินอยู่ ฯลฯ ที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกัน

วัฒนธรรมยังรวมถึงความเคยชินด้วย  ความเคยชินบางอย่างอาจจะไม่ดี ไม่ควรเลียนแบบก็ได้

ที่หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง  ก็เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะความแตกต่างของคำสองคำนี้ได้ แม้จะมีส่วนเกี่ยวโยงกัน แต่ความหมายต่างกัน

ในภาษาจีนมีตัว 文 เป็นรากศัพท์  ในภาษาไทยมีคำว่า "ธรรม" เป็นตัวร่วม  แต่ในอังกฤษแยกเป็นคนละคำกัน  



ดูคำจีนสับสนเพิ่มเติม คลิกที่นี่


เข้าใจจีน เรียนภาษาจีน อารยธรรม ปรัชญาจีน 


หนังเรื่องนี้กำลังแพร่ภาพทางไทยพีบีเอส ทุกเสาร์-อาทิตย์ 20.15 โดยประมาณ

ดูหนังเรื่องนี้ภาคภาษาจีนทางยูทูป ที่ลิงค์นี้ (คลิกที่นี่)

ภาคภาษาไทย ดูได้ที่ ไทยพีบีเอส (ย้อนหลัง)

และ พากย์ไทย ที่คุณ naruto_multiThree อัพไว้ในยูทูปหลังหนังออกอากาศ (คลิกที่นี่)

เพลง 问月 (ถามจันทร์) เพลงเอกที่ใช้ตอนนางเอกเต้นระบำบนทุ่งหญ้า (คลิกที่นี่)
....................................
มุมผ่อนคลาย
ภาพเก็บตกจากกองถ่ายเรื่องมู่หลานมาฝากเล็กน้อย
ภาพขำๆ ของคนแสดงเป็นแม่ทัพเซี่ย กับ ชุดเกราะที่หนักประมาณ 7 กิโลกรัม
ขอบคุณภาพจาก weibo ของ Ai Dong  艾东微博  ผู้แสดงเป็นแม่ทัพเซี่ยชี่เฉิน













ขอบคุณทุกคลิกทุกความคิดเห็นตั้งแต่ตอนแรก - ตอนปัจจุบัน
Flag Counter