วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เจ้าของรางวัลมากมาย กับผลงานใหม่ หนังผีแนวสืบสวน



เขียนเกี่ยวกับหนังจีนมาหลายตอน วันนี้ขอออกจากแนวมาเขียนถึงผู้กำกับหนังไทยบ้าง
ที่เขียนถึงเขา  เพราะเห็นว่าผลงานที่เขาสร้างออกมา  นอกจากจะมีความคิดสร้างสรรค์ไม่จำเจ
ไม่ยึดอยู่กับการตามกระแสตลาดแล้ว  ยังเป็นหนังไทยที่มีคุณภาพ  แฝงสาระ  แง่คิดผ่านการบันเทิง


คุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง  เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ระดับนานาชาติ  
เพราะหนังของเขาได้รับการยอมรับและได้รางวัลจากวงการภาพยนตร์นานาชาติหลายรางวัล

        คุณวิศิษฏ์จริงจังและทุ่มเทให้กับการสร้างงานมาก จนไม่ค่อยได้พักผ่อนและดูแลตัวเอง  หลังจากสร้างเรื่อง "อินทรีย์แดง" เมื่อ 5 ปีก่อน  คุณวิศิษฏ์ก็หยุดสร้างหนังไประยะหนึ่ง  เนื่องจากเรื่องสุขภาพ

        เร็วๆ นี้  ได้ข่าวว่าคุณวิศิษฏ์ ได้เปิดตัวหนังสือนวนิยายเรื่องแรกที่เขาเขียนเอง  ซึ่งเป็นแนวสืบสวนฆาตกรรมเรื่อง "รุ่นพี่" จัดพิมพ์โดยสถาพรบุ๊คส์  และมีการสร้างเป็นหนังผีวัยรุ่นชื่อเดียวกัน กำหนดเข้าฉายในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ด้วย  

         แนวการสร้างหนังของเขามีความคิดใหม่ๆ  ไม่เหมือนใครเสมอ  จากผลงานที่ผ่านมาของเขา  ทำให้หนังผีเรื่อง “รุ่นพี่”  หนังเรื่องใหม่ของเขาได้รับความสนใจมากจากแฟนหนังไทยที่เคยเห็นฝีมือมาแล้ว  

        เมื่อพูดถึงคุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง  เราก็จะนึกถึงผลงานเด่นๆ ของเขาในวงการหนังไทยและหนังโฆษณาที่ผ่านมา  ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ 2499 อันธพาลครองเมือง” ( หนังดังในปี 2540)  และ “นางนาก” ที่คนดูแน่นโรงทุกรอบในตอนนั้น  ( ปี 2542)   ผลงานกำกับการแสดงของเขาเองเรื่อง “ฟ้าทลายโจร” (หนังแนวย้อนยุคคลาสสิค) ที่ได้รับรางวัลจากงานภาพยนตร์นานาชาติที่แวนคูเวอร์ในปี 2543  กับผลงานกำกับอีกเรื่อง คือ  “หมานคร” (สร้างปี 2543 ) หนังแนวสะท้อนสังคมเมืองที่ได้รับรางวัลหลายรางวัล

        ส่วนในด้านผลงานโฆษณาเด่นๆ ของเขา  ที่ผู้เขียนเห็นว่ามีแนวคิดและวิธีการสื่อที่ “ดีเยี่ยม” ก็มีจำนวนมาก  แต่ละชุดก็มีไอเดียสร้างสรรค์และดึงดูดความสนใจของคนดู จนเป็นที่ติดหูติดตาติดปาก  
เท่าที่เหล่าซือจำได้ก็เช่น โฆษณาของห้างเซ็นทรัล ชุด “อาม่าอยากไปเซ็นทรัล”   โฆษณาของเอ็มเคสุกี้ ชุด “ผักเดินได้”  ชุด “กินอะไร ไปกินเอ็มเค”  (ใช้ทำนองเพลงของ “มองอะไร” )  และโฆษณาธนาคารกรุงไทย ชุด “เงินกำลังจะหมุนไป” (2552) ฯลฯ  
ซึ่งแต่ละเรื่อง คุณวิศิษฏ์จะเป็นคนคิดเอง คัดเลือกตัวแสดงเอง ตัดต่อเอง  บางเรื่องจะออกแนวย้อนยุคผสมผสานกับแนวสนุกสนาน

คุณวิศิษฏ์  จบคณะมัณฑนศิลป์  รั้วศิลปากร  เป็นคนมีความสามารถและพรสวรรค์ในการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก  ชอบอ่านหนังสือนวนิยายแนวสืบสวนมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน   คู่ชีวิตที่คอยดูแล  เคียงข้าง และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการงานเขาคือ คุณศิริพรรณ เตชจินดาวงศ์  ( นักเขียนนวนิยาย  เจ้าของนามปากกา “คอยนุช”  จบคณะวารสารฯ  รั้วธรรมศาสตร์ )
 คุณวิศิษฏ์และคุณศิริพรรณเริ่มทำงานโฆษณาในตำแหน่งครีเอทีฟ และผ่านการทำงานในบริษัทโฆษณาดังๆ  หลายบริษัท  


"รุ่นพี่" น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องของคุณวิศิษฏ์ ที่จะคว้ารางวัลมาให้กับวงการหนังไทย


ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ สถาพรบุ๊คส์

............................

ตัวอย่างหนัง "รุ่นพี่" ในยูทูป


 



 หนังไทยที่กำกับโดยคุณวิศิษฏ์  ได้มีโอกาสไปสู่เวทีหนังนานชาติ และได้รับรางวัล อาทิ
(ส่วนนี้อ้างอิงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วิศิษฏ์_ศาสนเที่ยง)
 ภาพยนตร์เรื่อง ฟ้าทลายโจร
* ได้รับรางวัล Dragons & Tigers award for young cinema จาก Vancouver Film Festival, Canada ในปี ค.ศ. 2000  (2543)
* เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับการคัดเลือกเข้าชิงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เมืองคานส์ปี ค.ศ. 2009 อย่างเป็นทางการในสายอันเซอร์เทิล รีการ์ต (Un Certain Regards) หรือ ภาพยนตร์ที่น่าจับตามอง

ภาพยนตร์เรื่อง หมานคร
ได้รับรางวัล สุพรรณหงศ์ ปี ค.ศ. 2004  (2549) สาขาการสร้างภาพพิเศษยอดเยี่ยม  
ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศในปี ค.ศ. 2004 อีกหลายประทศ เช่น 
งานดรากอล แอนด์ ไทเกอร์ ซีรีส์ (Dragons & Tigers Series) ในเทศกาลแวนคูเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เฟสติวัล (Vancouver International Film Festival)
ได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์แฟนตาเซีย (FANTASIA : NORTH AMERICA’S PREMIER GENRE FILM FESTIVAL) ที่ Montreal ประเทศแคนาดา ครั้งที่ 10   

คว้ารางวัลรางวัลมหาชน Best Asian Film (Bronze Prize) และ Most Groundbreaking Film (Silver Prize)
ได้รับการยกย่องให้เป็น ใน 10 ของหนังที่ดีที่สุดในโลกปี ค.ศ. 2004  จากนิตยสาร ไทม์แมกกาซีน 

ได้รับรางวัลศิลปาธร สาขาภาพยนตร์ ครั้งที่ ประจำปี พ.ศ. 2549 จัดโดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม 
เป็นรางวัลจัดขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุน ส่งเสริม ยกย่อง เชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยให้มีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ



วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน เจาะสาระ 12 แม่ทัพ ผู้นำ ตามหลักพิชัยสงครามซุนวู



将者,智、信、仁、勇、严也。

(孙子兵法)

คุณสมบัติที่ แม่ทัพ ผู้นำ พึงมี 

สติปัญญา สัจจะ เมตตาธรรม
ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ความเข้มงวดและวินัย
(พิชัยสงครามซุนวู) 


古代汉语 ภาษาจีนโบราณ
ภูมิปัญญาจีนโบราณ - องค์ความรู้ที่นำมาปรับใช้กับการบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบันได้ด้วย
บทความโดย สุวรรณา สนเที่ยง  张碧云
2015-11-19

           จุดประสงค์ในการเขียนเรื่อง "มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน" เวอร์ชั่น 2013 หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "มู่หลาน 2015" นี้  ก็เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่มีหลายมิติ  ไม่ใช่แค่เน้นการรรักชาติ กตัญญู  หากแต่ยังมีสาระ  แฝงแง่คิด ปรัชญาชีวิตมากมาย  เป็นหนังแนวโบราณก็จริง  แต่แนวคิดไม่โบราณเลย  อยากบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทั้งแง่การใช้ภาษาและอื่นๆ

            ดูหนังเรื่องมู่หลานฯ เวอร์ชั่นนี้แล้ว ก็อยากให้ประเทศต่างๆ เลิกทำสงครามแย่งชิงทรัพยากร หันมาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน  ร่วมมือกัน  คนจะได้ทำมาหากินอย่างสงบ ร่ำรวยไปด้วยกัน

             การส่งองค์หญิงจากแคว้นหนึ่งไปแต่งงานกับอีกแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์เกี่ยวดองเป็นญาติ  เป็นวิธีการโบราณ  แต่โลกปัจจุบันถือเป็นสัญลักษณ์ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ


            เมื่อเรามาดูสถานการณ์โลกปัจจุบัน  เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น  ผู้บริสุทธิ์ล้มตายจำนวนมาก  และยังเกิดผลกระทบไปทั่ว  กระทบความรู้สึกปลอดภัยในชีวิต กระทบเศรษฐกิจ  กระทบการท่องเที่ยว (รายได้ของแต่ละชาติ) ฯลฯ

            ในแง่ของการเรียนภาษา  หนังเรื่องนี้มีรูปประโยคการสนทนาภาษาจีนที่เข้าใจได้ไม่ยาก และภาษาที่ซับซ้อนเข้าใจยาก (เหมาะกับคนเรียนภาษาจีนขั้นสูงที่อยากพัฒนาทักษะการฟัง ความเข้าใจ การแปล ฯลฯ  อันนี้ต้องยกความดีให้กับผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ )  มีการใช้คำเชื่อม  คำย้อนถาม ฯลฯ   มีสำนวนจีนโบราณสอนใจอมตะ  ลึกซึ้ง  มีการอุปมาให้เห็นชัด  มีภาษาชาวบ้านที่พูดตรงๆ  กับมีคำพูดที่แฝงนัยความหมายที่ต้องอาศัยการตีความ

            แนวการเขียนของผู้เขียนก็ยังคงอยู่ในโหมดเดิม คือ เรื่องจีนๆ ภาษาจีน วัฒนธรรมจีน การศึกษา ฯลฯ  เพื่อความ "เข้าใจจีน" ซึ่งเป็นกระแสโลกตอนนี้

            การเขียนเรื่อง "มู่หลาน" ก็ยังอยู่ในโหมดนี้  เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการเล่าหนังแทนการเขียนแนววิชาการ  คนที่เคยเรียนกับเหล่าซือ จะรู้ว่าเหล่าซือชอบสอนนอกตำราเล่าหนังจีนอมตะหรือตำนานจีนในห้องเรียนอยู่เสมอ  เพราะถือหลักว่า  การเรียนภาษาต้องควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านวัฒนธรรม อารยธรรม ปรัชญา วิธีคิด  จึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของภาษานั้นๆ  จึงจะ "เข้าใจจีน" และคุยกับคนภาษานั้นได้ "รู้เรื่อง"  การเล่าหนัง เล่านิทาน ยังเป็นการทำให้จำแม่นกว่าการอ่านตำราด้วย
  
           ในด้านเนื้อหา  หนังเรื่องนี้นอกจากจะมีการสอดแทรกให้ผู้ชมเห็นของดีจีน - ภูมิปัญญาจีนมาแต่โบราณ วัฒนธรรม วิธีคิดแบบจีนแล้ว  ผู้เขียนมองว่าหนังเรื่องนี้ยังสะท้อนการเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   นโยบายต่างประเทศ  นโยบายพัฒนาประเทศ  ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการสู้รบ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีมาแต่โบราณ  แต่ก็ยังไม่ล้าสมัยในโลกปัจจุบัน ( ข้อสังเกตส่วนตัวผู้เขียน - คำพูดหลายๆ คำที่ตัวละครพูด  เราก็ได้ยินผู้นำจีนพูดคล้ายๆ กันในแนวเดียวกันด้วย )    
           
             หลังจากที่เขียนเรื่อง เจาะสาระ "มู่หลานฯ " มา 12 ตอน  ก็มีผู้อ่านส่งกำลังใจมาให้ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์  บางท่านบอกว่าติดตามอ่าน คอยคลิกเข้ามาดูบ่อยๆ ว่าอัพตอนใหม่แล้วหรือยัง  บางท่านบอกว่าดูหนังแล้วมาอ่าน  ทำให้สนุกออกรสยิ่งขึ้น เข้าใจมากขึ้น  แตกความคิดและไปค้นหาความรู้เรื่องอื่นๆ เพิ่มได้อีกหลายแง่มุม

             ส่วนผู้อ่านที่ขอมา อยากให้หาเบื้องหลังการถ่ายทำมาให้ดูเพิ่มนั้น  ลองหาดูแล้วแต่ได้ไม่มาก  เนื่องจากซีรีย์เรื่องนี้ถ่ายทำตั้งแต่ปี 2011  (ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 1 ปี)  แพร่ภาพในจีนเมื่อสองปีก่อน 2013  ข้อมูลบางส่วนอาจถูกลบออกไปจากเว็บแล้ว ( ตอนนี้ได้นำภาพส่วนที่พอหาได้พ่วงไว้ตอนท้ายเรื่องนี้  ถ้าหาได้อีกก็จะทยอยเพิ่มเติมในโพสต์ต่อไป )

            ส่วนที่เป็นฉากและเรื่องราวการสู้รบในภาคหลัง (ต่อจากภาคปักผ้า) นี้  ผู้เขียนพยายามจะตัดย่อให้สั้นที่สุด  เพราะซีรีย์ใกล้จะจบแล้ว  เขียนไม่ทัน อีกอย่างก็คือผู้เขียนไม่ถนัดเรื่องนี้่ และไม่ชอบสงครามด้วย ( บางฉากบางตอนก็ไม่ดูหรือดูผ่านๆ )  
    
            ตอนที่แล้วเขียนถึงเรื่องยุทธวิธีในการทำศึก (ยกแรก ตอนนี้ในหนังไปถึงยกที่สองแล้ว ) ระหว่างแม่ทัพองค์ชายตัวหลุนกับแม่ทัพเซี่ยชี่เฉินที่มีมู่หลานเคียงบ่าเคียงไหล่ ( ซึ่งเป็นการรบสองรุมหนึ่ง  แถมยังเป็นสองคนที่รู้จักนิสัยส่วนตัว รู้จุดอ่อนของแม่ทัพตัวหลุนเป็นอย่างดีด้วย ) ตัวหลุนจึงแพ้ศึกครั้งแรกในชีวิต  อย่างนี้ในสำนวนจีนก็ใช้คำว่า  知己知彼、百战百胜。( รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ) ได้เหมือนกัน

            ต่อมา  ยุทธการที่เมืองเซิ่งเล่อ  ตัวหลุนมีโอกาสฆ่ามูหลาน แต่เขาก็ฆ่าไม่ลง  จึงแกล้งทำเป็นฟันดาบลงไป  และปล่อยให้เธอรอดชีวิตกลับไป  แถมยังเสี่ยงชีวิตขี่ม้าเอายาแก้พิษธนูมาให้มู่หลานถึงค่ายทัพเว่ย ( คนรักแท้แบบนี้ในโลกนี้ยังหาได้อีกมั้ย )

            และมีอีกตอนหนึ่ง มู่หลานมีโอกาสฆ่าตัวหลุน  แต่เธอก็ฆ่าเขาไม่ลงเช่นกัน  บอกให้เขารีบหนีไป แม่ทัพเซี่ยกำลังจะมาถึง

            หลังจากนั้น แม่ทัพเซี่ยถามมู่หลานว่า " ได้ยินว่าตอนนั้นเจ้ามีโอกาสฆ่าเขา  แต่ทำไมเจ้าไม่ทำ  ข้าไม่อยากเห็นเจ้าผิดพลาดตามรอยของตัวหลุน " (หมายถึงแพ้เพราะใจรักที่ผูกพัน ใจอ่อนต่อศัตรู)

            ผู้กำกับกดดันจิตใจคนดูจริงๆ เลย  แม่ทัพเซี่ย บุคคลในอุดมคติก็ช่างใจร้าย แต่ก็พยายามเข้าใจว่าในเหตุการณ์จริงความพ่ายแพ้กำหนดชะตากรรมของชาติตนเอง


           ในตอนหนึ่งของหนัง ได้มีการโยงถึงบทหนึ่งในตำราพิชัยสงครามซุนวูที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของแม่ทัพ หรือผู้นำ ผู้เขียนจึงไปหาข้อความภาษาจีนพิชัยสงครามเฉพาะบทนี้ และถอดความภาษาไทยคร่าวๆ มาฝาก ( แต่ไม่ดูเรื่องอื่นในตำราพิชัยสงครามเลย เพราะไม่ถนัด )


     สองตัวละครเอกในเรื่องนี้ ต่างก็มีคุณสมบัติเป็นแม่ทัพที่สุดยอดทั้งคู่   
     สองคนนี้ต่างก็ชื่นชมอีกฝ่าย แต่ทั้งคู่ไม่มีโอกาสสู้กันตัวต่อตัวในสนามรบจริง
     ซึ่งต่อมา ตัวหลุน ได้พูดถึง แม่ทัพเซียชี่เฉินว่า "เป็นสหายและคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดของข้า"

...................................................
     
            จากบทความที่แล้ว (เจาะสาระตอนที่ 12 ของผู้เขียน)  เรื่องเกี่ยวกับหลักการทำศึกตามตำราพิชัยสงครามซุนวู  มีผู้อ่านท่านหนึ่งกรุณาแสดงความเห็นมาไว้น่าสนใจมาก  ได้ขออนุญาตเจ้าของความเห็นแล้ว  จึงนำมาโพสต์ไว้ในบทความนี้ และขอขอบคุณมาในโอกาสนี้ด้วย        
     
           ผู้อ่านคุณ Tapootum Tapootum  เขียนว่า

          " ดูเรื่องนี้แล้วต่อยอดไปในหลายๆเรื่อง ตอนนี้ก็ไปหาอ่านพิชัยสงครามเพราะสงสัยตอนทหารได้รับบาดเจ็บแล้วท่องว่ามี อย่างที่ต้องใช้ในการทำศึก ดูแล้วก็สงสัยว่าบางข้อมาเกี่ยวอะไรด้วย พอได้รู้ข้อมูลก็รู้สึกทึ่งมากๆ กับภูมิความรู้ของคนยุคก่อนๆ ค่ะ "

           " จำไม่ได้ว่าตอนที่เท่าไหร่ รู้แต่ว่าตอนที่เสี่ยวซันจื่อทำแผลให้ทหารบาดเจ็บ ระหว่างทำแผลคงเจ็บมากเลยให้กัดผ้า แต่คงเอาไม่อยู่เลยท่องอะไรออกมามั่วๆ เป็นคนที่รบไม่เก่งแต่ชอบอ่านพิชัยสงครามน่ะค่ะ  แล้วเสี่ยวซันจื่อก็ช่วยท่องด้วย  เหมือนหมอเบนความสนใจเพื่อช่วยไม่ให้คนไข้เจ็บมากน่ะค่ะ  เค้าท่องห้าสิ่งที่ต้องประเมินเมื่อทำสงคราม  เพราะสงครามแพ้ - ชนะเป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมือง  เค้าบอกว่าต้องคำนึงถึง

      ---...ธรรมในการปกครองให้ประชาชนรู้สึกรวมใจเป็นหนึ่งเดียวในการต่อสู้เพื่อชาติ  

      ---   ฟ้า สภาพดินฟ้าอากาศฤดูกาล

      ---   ดิน สภาพภูมิประเทศพื้นที่ๆ จะเข้าไปทำศึก

      ---   แม่ทัพ ถ้าผู้นำไม่ดี ไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เมตตา สติปัญญาจำกัด ก็ยากจะรบชนะ

      ---   สุดท้ายคือระเบียบวินัย  ถ้าไม่มีการจัดการที่ดีการส่งเสบียง กำลังหนุน หรือการให้คุณให้โทษในกองทัพ ถ้าไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ก็จะพ่ายศึกในที่สุดค่ะ "



          ความเห็นคุณ Tapootum Tapootum เพิ่มเติม  " นี่แค่ ตำราพิชัยสงครามของซุนวูบทแรกเองจากที่เขียนไว้ 13 บท  พออ่านไปเรื่อยๆ เค้าบอกว่าเป็นความรู้ล้ำค่าของโลก  แปลไปหลายภาษาทั่วโลก  ไร้ข้อโต้แย้ง  ก็เลยทึ่งมากๆ ตรงนี้แหละค่ะ ว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงตกตะกอนทางความคิดแล้วเขียนมาเป็นคัมภีร์ให้คนยุคนี้ได้ศึกษามาหลายยุคหลายสมัย  มันดีที่สุดเลยที่ได้เรียนรู้ค่ะ  สนุกมากเลยค่ะ " 
                     
                                  .............................................................................................

            ลักษณะคนที่ขาดภาวะความเป็นผู้นำ  แม่ทัพที่ขาดสติปัญญา  หูเบา  ขาดความสามารถในการแยกแยะปัญหา  ขาดการมองการณ์ไกล ยังได้สะท้อนผ่าน "ท่านข่านต้าถาน" และ  "องค์ชายหวูถี" ในหนังเรื่องนี้


            ตอนที่แล้วผู้เขียนสรุปค่อนข้างรวบรัด   เล่าข้ามสาระที่น่าสนใจส่วนหนึ่งไป  บทความนี้จึงอยากย้อนกลับไปพูดถึงอีกครั้ง

            (ก่อนจะท่านข่านจะประกาศศึก) ฉากที่องค์ชายตัวหลุนกลับถึงโหยวหยาน แล้วแสดงความเห็นคัดค้านการเปิดศึกกับแคว้นเว่ย  
             เขาพูดโต้ตอบกับท่านข่านและจินฉานจื่อ (มหาอำมาตย์แห่งแคว้นโหยวหยาน)

             จินฉานจื่อต้องการให้รบ  ท่านข่านก็บอกชัดเจนว่า  เป้าหมายของการทำสงครามคือไปยึดทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ที่แถบจงหยวน (ซึ่งรวมแคว้นเว่ยอยู่ด้วย) เพื่อทางรอดของโหยวหยานและการขยายอิทธิพลของโหยวหยาน 
             ( วิสัยทัศน์หรือนโยบายของท่านข่านคือ  สร้างความมั่งคั่งด้วยการใช้กำลังทหารไปตีและยึดเอาทรัพยากรของชาติอื่น)
          
             ตัวหลุนพยายามพูดโน้มน้าวให้พ่อเห็นด้วยกับการไม่รบ ว่า 
             " ทุกครั้งที่เราทำสงคราม ชิงช่วงทรัพย์สินได้มากมาย  
               แต่ทุกครั้งที่รบก็ต้องสูญเสียชีวิตคนมากมาย  
               องค์หญิงแคว้นเว่ยแต่งมาเชื่อมสัมพันธ์เป็นเรื่องดี  
               แคว้นเว่ยอุดมสมบูรณ์   ไพร่พลเข้มแข็ง  
               แต่สิ่งที่ลูกหวาดหวั่น  ไม่ใช่ทหารและม้าศึกของแคว้นเว่ย  
               หากแต่เป็นอารยธรรมของชาวจงหยวน ( 并不是魏国的兵马,而是中原的文明) * ตัวหลุนพูดถึงศึกษาอารยธรรม   ไม่ใช่วัฒนธรรม 
             ( วิสัยทัศน์หรือนโยบายของตัวหลุนคือ สร้างความมั่งคั่งจากการใช้สติปัญญา ศึกษา เรียนรู้ข้อดีของชาติอื่นและความร่วมมือ)     
  
             ท่านข่านพูดว่า  "อารยธรรมที่เจ้าพูดหมายถึงผ้าไหมเครื่องปั้นเครื่องเคลือบหรือ หากเรายึดแคว้นเว่ยได้ ของพวกนั้นก็จะตกเป็นของเรา  อารยธรรมมีอะไรน่ากลัว ? "

              ตัวหลุนตอบว่า 
              อารยธรรมไม่ใช่ผ้าไหมเครื่องปั้นเครื่องเคลือบ  แต่เป็นความรู้ที่คิดค้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาสั่งสมสืบต่อกันเป็นเวลานาน  นี่แหละคืออานุภาพของอารยธรรม ( 绵延千年的积淀,这就是文明的力量。)
              ตัวหลุนพูดต่อว่า อารยธรรมไม่เพียงสร้างความมั่งคั่ง ยังทำให้ประเทศนั้นแผ่อิทธิพลไปได้ไกลอีกด้วย  อย่างสกุลทั่วป๋าแห่งเซียนเปย  เดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้า  แต่เพราะผสานเข้ากับอารยธรรมของจงหยวน (หมายถึงเรียนรู้จากชาวจีนฮั่น) สถาปนาแคว้นเว่ย  จนกลายเป็นแคว้น (ประเทศ) ที่เข้มแข็ง  นี่คืออานุภาพของอารยธรรมจงหยวน (หมายถึงอารยธรรมจีนฮั่น) ทำไมเราไม่เลิกคิดทำสงคราม หันไปเรียนรู้อารยธรรมจงหยวน  เพื่อให้โหยวหยานเราเจริญเข้มแข็งอย่างแท้จริงล่ะ

               จินฉานจื่อโต้ว่า  ที่สกุลทั่วป๋า (วงศ์ฮ่องเต้แคว้นเว่ย) ได้ครองแผ่นดินวันนี้  ก็ล้วนแต่มาจากการทำสงครามทั้งนั้น
  
          ตัวหลุนโต้ว่า แต่ความเข้มแข็งและความเจริญ (ของประเทศ) นั้นไม่ควรพึ่งพาการทำสงคราม (而强盛不能依靠战争)

          จินฉานจื่อพูดว่า ความแค้นโหยวหยานกับชาวเว่ย สั่งสมมาหลายสิบปี  มีคนตายด้วยน้ำมือชาวเว่ยมากมาย

          ตัวหลุนพูดว่า เราจะจมอยู่กับอดีต จนไม่มองอนาคตไม่ได้
                .....................................................  

เกร็ดภาษาจีนจากเหล่าซือสุวรรณา 中文知识点滴
汉语近义词  คำศัพท์จีนชวนสับสน 
ความแตกต่างระหว่างคำว่า  文明 กับ 文化
文明 แปลว่า อารยธรรม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Civilization 
文化 แปลว่า วัฒนธรรม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Culture

ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ
อารยธรรม 文明  หมายถึงองค์ความรู้ ที่มนุษย์พัฒนาจากการล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์เป็นอาหาร มาเป็นการรู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า ทำกระดาษ  ผลิตของใช้ ฯลฯ เป็นการพัฒนาต่อยอดจากวัฒนธรรม
วัฒนธรรม  文化 หมายถึง ความเชื่อ ภาษา การแต่งกาย วิถีชีวิต แนวคิด ขนมธรรมเนียม  ศิลปะ การกินอยู่ ฯลฯ ที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกัน

วัฒนธรรมยังรวมถึงความเคยชินด้วย  ความเคยชินบางอย่างอาจจะไม่ดี ไม่ควรเลียนแบบก็ได้

ที่หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง  ก็เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะความแตกต่างของคำสองคำนี้ได้ แม้จะมีส่วนเกี่ยวโยงกัน แต่ความหมายต่างกัน

ในภาษาจีนมีตัว 文 เป็นรากศัพท์  ในภาษาไทยมีคำว่า "ธรรม" เป็นตัวร่วม  แต่ในอังกฤษแยกเป็นคนละคำกัน  



ดูคำจีนสับสนเพิ่มเติม คลิกที่นี่


เข้าใจจีน เรียนภาษาจีน อารยธรรม ปรัชญาจีน 


หนังเรื่องนี้กำลังแพร่ภาพทางไทยพีบีเอส ทุกเสาร์-อาทิตย์ 20.15 โดยประมาณ

ดูหนังเรื่องนี้ภาคภาษาจีนทางยูทูป ที่ลิงค์นี้ (คลิกที่นี่)

ภาคภาษาไทย ดูได้ที่ ไทยพีบีเอส (ย้อนหลัง)

และ พากย์ไทย ที่คุณ naruto_multiThree อัพไว้ในยูทูปหลังหนังออกอากาศ (คลิกที่นี่)

เพลง 问月 (ถามจันทร์) เพลงเอกที่ใช้ตอนนางเอกเต้นระบำบนทุ่งหญ้า (คลิกที่นี่)
....................................
มุมผ่อนคลาย
ภาพเก็บตกจากกองถ่ายเรื่องมู่หลานมาฝากเล็กน้อย
ภาพขำๆ ของคนแสดงเป็นแม่ทัพเซี่ย กับ ชุดเกราะที่หนักประมาณ 7 กิโลกรัม
ขอบคุณภาพจาก weibo ของ Ai Dong  艾东微博  ผู้แสดงเป็นแม่ทัพเซี่ยชี่เฉิน













ขอบคุณทุกคลิกทุกความคิดเห็นตั้งแต่ตอนแรก - ตอนปัจจุบัน
Flag Counter



วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน เจาะสาระ 11 ชนะกันด้วยสติปัญญา


มู่หลาน จอมทัพหญิงกู้แผ่นดิน ซีรีย์จีน เวอร์ชั่น 2013 

花木兰传奇 The Legend of Hua Mulan
การได้ดูหนังดีสักเรื่อง เหมือนได้อ่านหนังสือดีหลายเล่ม 
เขียนโดย สุวรรณา สนเที่ยง 张碧云
。。。。。。。。。。。。。

เจาะลึกข้อคิด สาระ และ เกร็ดภาษาจีนจากหนัง
 จากหอปักผ้าสู่สนามรบ 
ชนะกันด้วยสติปัญญา
...................................................
เจาะสาระ วัฒนธรรม อารยธรรมจีน จากซีรีย์จีน มู่หลาน (12)
ดูซีรีย์จีนที่มีสาระ นอกจากเรียนรู้ภาษาแล้ว ยังได้คำคม แง่คิด วัฒนธรรม ทัศนคติเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต 
และเข้าใจอารยธรรมจีนที่มีมาแต่โบราณได้อีกด้วย

บทภาพยนตร์ดีๆ  ถ้าเปรียบก็เหมือนหนังสือวรรณกรรมชั้นเยี่ยมเล่มหนึ่ง

คนที่เรียนภาษาจีน  ดูพากย์ไทยแล้วลองดูภาคภาษาจีน 
ฝึกฟัง ฝึกพูดตาม จดคำคม สำนวนจีนดีๆ ออกมา และฝึกแปล

看一部好的中文电视剧,就如读一本好书一样。
除了学语言以外,还可以从中学到不少有关中国古代就有的名言、文明和处世的观念。

เนื้อเรื่องย่อแบบสรุป 
จากตอนซีรีย์ภาคภาษาจีน CCTV และตอนที่  23 - 27 พากย์ไทยจากไทยพีบีเอส 

         หลังจากจบภาคการปักไหมสินเจ้าสาวเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ที่ยาว 20 กว่าตอน ต่อไปนี้ก็จะเริ่มภาคที่รบกันยาวนาน 10 ปีระหว่างแคว้นเว่ยกับโหยวหยาน 
         ที่ภาคปักผ้ายืดยาวเก็บรายละเอียดมากมาย เพื่อสะท้อนว่าแม้ชาวบ้านจะไม่ต้องการสงคราม  พยายามทำทุกอย่าง เสียสละแม้กระทั่งชีวิตทุ่มเททำภาพปักเพราะไม่อยากให้พ่อบ้านหรือลูกชายต้องออกรบ  แต่สงครามก็เกิดขึ้นจนได้เนื่องจากความต้องการของคนมีอำนาจบางคน  เป็นไปตามคำพูดของพระสนมฉานฮวา " คิดอย่างหนึ่งเป็น คิดอีกอย่างตาย" ความคิดและการตัดสินใจของท่านข่านที่เชื่อคำของจินฉานจื่อนำมาซึ่งความหายนะและการล้มตายของเหล่าทหาร การสูญเสียญาติสนิทของนับพันนับหมื่นครอบครัว  รวมถึงนำความเจ็บปวดมาให้กับครอบครัวของท่านข่านเองในที่สุด
           " คิดอย่างหนึ่งเป็น คิดอีกอย่างตาย" คำนี้เป็นสัจธรรมจริงๆ  
           ในชีวิตคนเรา  ระหว่างทางมีอะไรให้ "เลือก" และ "คัดทิ้ง" มากมาย  ถ้าเลือกถูกก็ประสบความสุขความเจริญ แต่ถ้าเลือกผิดหรือเดินทางผิด ก็นำมาซึ่งความล้มเหลวและความทุกข์  คนที่ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่น ทำลายครอบครัว ตกเป็นอาชญากร ก็มาจากความคิดที่ตัวเองเลือกนี่แหละ    
......     มีบทพูดที่ดีๆ หลายฉากก่อนที่จะรบกัน 
          เช่นมีตอนหนึ่งที่ท่านข่านบอกพระเอกว่า  " ถ้าเราไม่กำจัดแคว้นเว่ย  สักวันเราจะถูกแคว้นเว่ยกำจัด  เปรียบเหมือนหมาป่า ถ้าเราไม่ล่ามัน วันหนึ่งเราก็จะถูกมันกิน "
          พระเอกตอบว่า " ความจริงทั้งชาวโหยวหยานและชาวเว่ย  เดิมก็ไม่ใช่หมาป่า แต่สงครามทำให้ลูกแกะกลายเป็นหมาป่าต่างหาก "
          ...........................................
 ( เรื่องราวต่อจากตอนที่แล้ว )     
          เมื่อองค์ชายตัวหลุน (พระเอก) พบว่าว่าที่เจ้าสาวที่แคว้นเว่ยส่งมานั้นไม่ใช่มู่หลาน แต่กลับกลายเป็น "ฝูหลิง" (茯苓)ซึ่งมาในฐานะช่างปักผ้าอันดับหนึ่งและ "องค์หญิงซีไห่" (西海公主)เขาผิดหวังและบอกขอโทษฝูหลิงที่เขาไม่สามารถแต่งงานกับเธอได้  เพราะในใจเขามีแต่มู่หลานคนเดียว

   
          จินฉานจื่อเสนอให้ท่านข่านประกาศสงครามกับแคว้นเว่ยโดยอ้างเหตุทหารเว่ยชิงภาพปักไหมไป ไม่มีความจริงใจในการเชื่อมสัมพันธ์  ตัวหลุนคัดค้านแต่ไม่สำเร็จ และยังถูกบีบบังคับจากท่านข่านผู้เป็นพ่อให้รับหน้าที่แม่ทัพใหญ่รบเพื่อพ่อ รบเพื่อความยิ่งใหญ่ของชาวโหยวหยาน 
          สงครามใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ตัวหลุนกลับไปหามู่หลานที่หวู่เฟิ่งกู่ คิดจะพาเธอหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยจากภัยสงคราม  แต่พบว่าหวู่เฟิ่งกู่เปลี่ยนจากที่เคยคึกคักกลายเป็นเมืองร้างเงียบเหงาเสียแล้ว ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหมด ( ทำให้ไม่มีแรงงานผลิต ) เส้นทางค้าขายถูกปิด ไม่มีพ่อค้ามาซื้อผ้าไหมเหมือนแต่ก่อน ( เศรษฐกิจซบเซา ) ส่วนมู่หลานก็หายไป  ไม่มีใครรู้ว่านางหายไปไหน แต่ตัวหลุนนึกว่ามู่หลานอาจไปหาเขาที่ชายแดน เพราะรู้ว่าเมื่อสงครามเกิดขึ้น ตัวหลุนจะต้องคุมทัพมาที่ชายแดน  
          ตัวหลุนกลับโหยวหยานด้วยความผิดหวังอีก 
          ไหนๆ ก็จะรบกันแล้ว  เรื่องแต่งงานก็ไร้ความหมาย  องค์ชายตัวหลุนจึงขอให้ท่านข่านปล่อยฝูหลิงกลับแคว้นเว่ย  เพราะนางไม่ควรมารับเคราะห์กรรมอยู่ที่โหยวหยาน  
          แต่ท่านข่านไม่ยอมส่งหญิงเก่งและสวยคนนี้กลับเว่ย  กลับสั่งให้รับฝูหลิงไว้เป็นมเหสีของตัวเองแทนในเมื่อตัวหลุนไม่ยอมแต่งงานกับฝูหลิง
          ตัวหลุนตกใจและเสียใจที่ฝูหลิงต้องมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้  จึงเตรียมม้าไว้จะช่วยฝูหลิงหนี แต่ฝูหลิงนึกถึงภาระหน้าที่ของตนเองที่มาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์  เพื่อประชาชนแคว้นเว่ย  นางจึงไม่ยอมหนี และยอมรับชะตากรรมโดยยอมแต่งงานกับท่านข่าน ( ที่มีลูกชายแก่กว่าตัวเธอเสียอีก )            

         (ฉากในหนัง) ฝูหลิงกอดตัวหลุนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนฐานะเป็น "แม่" ของตัวหลุน
          ฉากที่องค์ชายตัวหลุนพูดกับฝูหลิงนี้  เป็นอีกฉากหนึ่งที่เรียกความสะเทือนใจจากผู้ชมได้ไม่น้อย  สงสารฝูหลิงสาวงามอายุ 18 ชีวิตต้องพลิกผันกลายมาเป็นมเหสีของท่านข่านอายุมากกว่ารุ่นพ่อแทนที่จะได้แต่งกับองค์ชายในฝัน ( มู่หลานตอนหลังมารู้เรื่องนี้ ก็เสียใจและโทษตัวเองที่ยกตำแหน่งช่างปักอันดับหนึ่งให้กับฝูหลิง ) 
         ฝูหลิง ที่เคยบอกว่าจะแย่งมั่วเจี้ยงกับมู่หลาน ไม่ใช่ตัวอิจฉา หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือไม่มีตัวอิจฉา มีรักหลายเส้า แต่ก็เป็นรักที่จริงใจและเสียสละ ( ท่านข่านก็รักและเอ็นดูฝูหลิงมากในเวลาต่อมา )

         เพื่อนสนิทคู่นี้ ฝูหลิงกับมู่หลาน ถูกสร้างให้เป็นตัวละครที่เสียสละ  ต่อมาฝูหลิงได้นำเอาภูมิปัญญาด้านการทอผ้าปักผ้าของชาวจงหยวนไปสอนให้กับผู้หญิงชาวโหยวหยาน ช่วยให้พวกนางมีฝีมือและมีรายได้ที่ดีกว่าเลี้ยงแพะ ( สร้างความมั่งคั่งให้กับชนเผ่าทุ่งหญ้า ) ฝูหลิงใช้เข็มกับด้ายเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งสองเผ่า  ส่วนมู่หลานเปลี่ยนจากจับเข็มกับด้ายมาเป็นจับมีดดาบ

          ในวันรุ่งขึ้น  ฝูหลิงเข้าพิธีแต่งตั้งเป็นพระมเหสี  ส่วนองค์ชายตัวหลุนจำใจรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่  นำทัพใหญ่ประชิดชายแดนแคว้นเว่ย 

          ตอนนี้ก็ถึงฉากรบตามที่คนดูหลายคนรอคอย . ( ถ่ายทำที่ทุ่งหญ้ามองโกลเลียใน ทางเหนือกรุงปักกิ่ง - ปล. มีเพื่อนผู้อ่านถามมา ) 
          ฉากสู้รบในทุ่งหญ้านี้ เป็นฉากใหญ่ที่ต้องทุ่มทุนมหาศาลและใช้นักแสดงกับม้าจำนวนมาก  ตอนถ่ายทำทางกองถ่ายไปกว้านจ้างม้ามาเข้าฉากแทบหมดทุ่งหญ้า (ผู้เขียนแอบไปอ่านเบื้องหลังการถ่ายทำมา) ตัวแสดงต้องฝึกขี่ม้า ต้องใส่ชุดเกราะที่หนักประมาณ 7 กิโลกรัม  นักแสดงอ้ายตุงที่แสดงเป็นแม่ทัพเซี่ยต้องทากาวติดหนวดท่ามกลางอุณหภูมิตอนกลางวันที่ 38 องศา (แค่นึกดูก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว)

          พระเอกของเรื่อง ได้เปลี่ยนชุดคอสตูมจาก "มั่วเจี้ยง" พ่อค้าม้า  มาเป็นชุดคอสตูม "แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นโหยวหยาน" เต็มยศแล้ว  บุคลิกและภาพลักษณ์ก็เปลี่ยนเป็นผู้นำที่เฉียบขาด ฉลาดเก่งกล้า นักวางแผนการรบ ขึ้นมาทันที 
          แต่แม่ทัพคนนี้เปลี่ยนไป จากเดิมที่ไม่เคยกลัวการทำสงครามและไม่เคยรบแพ้มาก่อน  กลายเป็นแม่ทัพที่ไม่มีใจจะรบ  ไม่คิดจะบุก  ตั้งค่ายคุมเชิงไว้เฉยๆ อยู่นานหลายเดือน ( ยิ่งตอนหลังมารู้ข่าวว่ามู่หลานกลายเป็นทหารอยู่ในค่ายฝั่งตรงข้าม เขายิ่งไม่ยอมรบ ทำให้เสียโอกาสที่ได้เปรียบในการบุกตีก่อนที่ทัพใหญ่ของแม่ทัพเซี่ยฝ่ายเว่ยจะยกมาถึงชายแดน )     
          
          ที่แท้มู่หลานขโมยชุดทหารของพ่อ ปลอมตัวเป็นชาย ตัดสินใจไปเป็นทหารตามหมายเกณฑ์แทนพ่อ ในชื่อของพ่อ "ฮวาหู" (花弧) แต่ผู้หญิงเข้าไปอยู่ในกองทัพ  ตามกฎแคว้นเว่ยคือประหารสถานเดียว  
          ตอนนี้ชุดคอสตูมของ "มู่หลาน" ก็เปลี่ยนจากชุดสวยๆ ของสาวปักผ้า มาเป็นชุดพลทหารแทน

          เมื่อแม่ทัพตัวหลุนรู้ข่าวว่ามู่หลานกลายเป็นทหารเว่ยที่อยู่ในค่ายที่เขาจะต้องบุกตี  หญิงที่เขารักอาจจะตายได้ทุกขณะเมื่อเขาสั่งเคลื่อนพลเข้าบุกตี  ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าสั่งลุย  แววตาของเขาแสดงความปวดร้าว  โดยนักแสดง (郭品超)ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครออกมาได้ดีมาก  เรียกอารมณ์คนดูให้เกลียดสงครามยิ่งขึ้น

          เมื่อแม่ทัพเซียชี่เฉินยกทัพมาถึง  ก็วางแผนข้ามฝั่งจู่โจมทัพโหยวหยานทันที  
          แม่ทัพตัวหลุนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างที่ชายแดน  จึงวางแผนรอรับสู้กับทัพเว่ยถึงกลางดึก  
         หลังวางแผนเสร็จ  ตัวหลุนคิดถึงมู่หลาน  จึงหยิบซอหัวหมาป่าที่เคยเล่นให้มู่หลานฟังตอนอยู่หวู่เฟิ่งกู่ขึ้นมาเล่น 
         ในจังหวะนั้น  หัวหน้าหน่วยยวี้ฉื่อ (หน่วยกล้าตายของเรื่อง) กับมู่หลานแอบข้ามไปสอดแนมค่ายข้าศึก  มู่หลานได้ยินเสียงซอ ก็จำได้ว่าเป็นเสียงซอของตัวหลุนแน่ๆ 
         ฝ่ายตัวหลุนรู้ว่ามีสายมาสอดแนม แต่ก็แกล้งปล่อยไป (ตามแผนพิชัยสงครามซุนวู)  
         มู่หลานหนีกลับมาที่ค่ายทัพเว่ย  แล้วได้ฟัง "ซูเซิง" (นักศึกษาที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร เป็นคนชื่นชอบตำราพิชัยสงคราม) วิเคราะห์ตำราพิชัยสงครามบทที่เกี่ยวกับ "สายสืบ"  นางจึงรีบไปรายงานให้แม่ทัพเซี่ยรู้ว่าผู้ที่บัญชาการรบอยู่ฝั่งตรงข้ามคือ "ตัวหลุน "  ถ้าบุ่มบ่ามบุกไปจะทำให้ทัพเว่ยเสียหายมาก  ทำให้แม่ทัพเซี่ยรีบปรับแผนการจู่โจมใหม่  
         การรบกันครั้งนั้น  ทัพเว่ยก็ตีทัพตัวหลุนพ่ายแพ้ยับเยิน  ( เป็นครั้งแรกที่ตัวหลุนรบแพ้  แพ้เพราะจิตใจอ่อนไหวและเสียงซอของตัวเองแท้ๆ )  ขณะที่ตัวหลุนบัญชาการรบอยู่  เขาเห็นมู่หลานในชุดทหาร ก็สั่งไม่ให้ทหารยิงธนูใส่ทัพเว่ย  
         หลังจากที่แพ้  เขาก็รู้ว่า เขาแพ้ เพราะข้างกายของแม่ทัพเซี่ย มีมู่หลานที่เข้าใจตัวเขายิ่งกว่าแม่ทัพเซี่ยที่เข้าใจเขา  
         (ตามหนังเรื่องนี้) ทั้งมู่หลานและตัวหลุนต่างก็ฉลาดมาก  แต่ที่ตัวหลุนแพ้เพราะรักที่กลายมาเป็นจุดอ่อนในการทำศึก  ส่วนมู่หลานก็อาศัยจุดเปราะบางทางใจเอาชนะ  ใจแข็งเกินจนคนดูเครียดรับไม่ค่อยจะได้
         ตัวหลุนถูกเรียกตัวกลับไปรับโทษ  จินฉานจื่อถือโอกาสเสนอให้ท่านข่านปลดตัวหลุน เปลี่ยนตัวแม่ทัพให้องค์ชายใหญ่ "หวูถี" พี่ชายของตัวหลุนรับตำแหน่งแทน (จินฉานจื่อต้องการให้อำนาจทหารเปลี่ยนมือมาอยู่ในมือของหวูถี ซึ่งเป็นองค์ชายที่เชื่อฟังเขามากกว่า) 
         แต่ก่อนที่คำสั่งเรียกตัวกลับจะมาถึง  ตัวหลุนได้ยินว่าผู้หญิงอยู่ในกองทัพเว่ยถ้าถูกจับได้จะต้องถูกประหาร เขาจึงเสี่ยงชีวิตปะปนไปกับเฉลยศึกเพื่อเข้าไปในกองทัพเว่ยเพื่อหาโอกาสคุยกับมู่หลาน      
       


เกร็ดความรู้ด้านวัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์จีน (หมายเหตุจากผู้เขียน)
         **  ในตอนที่แสดงถึงเรื่องการตั้งค่ายกลสู้รบกันนี้  มีแง่มุมกลยุทธกลวิธีการสู้รบของทั้งสองฝ่ายแบบกางตำราพิชัยสงครามของซุนวู ( 孙子兵法) มาวางแผนการรบกันเลยทีเดียว  การชนะศึกไม่ได้อาศัยแต่การมีกำลังพลมากเพียงอย่างเดียว ยังอาศัยสติปัญญาและไหวพริบด้วย 
              ตำราพิชัยสงครามซุนวู ถือเป็นภูมิปัญญาน่าทึ่งอีกแขนงหนึ่งของจีนโบราณ  นับเป็นตำราทำศึกเล่มแรกของโลก ตำราเล่มนี้ได้มีการแปลเป็นหลายสิบภาษา เผยแพร่ไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้  ภาษาต่างประเทศภาษาแรกที่แปล คือ ภาษาฝรั่งเศส นอกนั้นก็มีภาษาอังกฤษ อิตาลี ไทย ฯลฯ มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า " The Art of War "
              孙子兵法  เขียนขึ้นเมื่อ 2600 กว่าปีก่อน ประมาณก่อนคริตศักราช 600 ปี  ปรากฎชื่อผู้แต่งคือ 孙武 ซุนหวู่ แห่งแคว้นหวู  ยุคชุนชิวตอนปลาย(春秋末期吴国)  
              เรื่องตำราพิชัยสงครามเคยออกเป็นข้อสอบ PAT ภาษาจีน (ข้อสอบที่ใช้สอบเข้าระดับอุมดมศึกษาของไทยสำหรับนักเรียน ม.6 ) หลายครั้ง 
              เหล่าซือไม่มีความรู้ด้านนี้  จึงขอเล่าแบบดำน้ำข้ามๆ ไป และจะขออนุญาตนำความเห็นของท่านผู้รู้หรือท่านที่สนใจไปหาข้อมูลมาแปะไว้ในช่อง " ความคิดเห็น " หรือในบทความนี้แทน            
         **  ตามประวัติศาสตร์จริง ในอดีตมีการส่งองค์หญิงไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธฺระหว่างชนเผ่า ระหว่างแคว้นเกิดขึ้นหลายยุคสมัย        
...................................................

เนื้อเรื่องย่อ  สาระ วัฒนธรรม ภาษา สำนวนจีน
อ่าน มู่หลาน เจาะลึก ตอน 1 (คลิกที่นี่)

มู่หลาน  ตอน 4 (คลิกที่นี่)
มู่หลาน  ตอน 5 (คลิกที่นี่)

มู่หลาน  ตอน 6 (คลิกที่นี่)

มู่หลาน ตอน 7 (คลิกที่นี่)


เพลงประกอบตอนจบ (คลิกที่นี่)
เพลงประกอบ 问月 (คลิกที่นี่) 



หนังเรื่องนี้กำลังแพร่ภาพทางไทยพีบีเอส ทุกเสาร์-อาทิตย์ 20.15 โดยประมาณ

ดูหนังเรื่องนี้ภาคภาษาจีนทางยูทูป ที่ลิงค์นี้ (คลิกที่นี่)

ภาคภาษาไทย ดูได้ที่ ไทยพีบีเอส (ย้อนหลัง)

และ พากย์ไทย ที่คุณ naruto_multiThree อัพไว้ในยูทูปหลังหนังออกอากาศ (คลิกที่นี่)


ดูทางยูทูป เสียงภาษาจีน มีซับอังกฤษ (ไม่ได้เรียงตอน และมีไม่ครบทุกตอน) ไปที่ลิงค์นี้ (ที่นี่)




ปล. รูปล่างนี้หามาฝากติ่งองค์ชายตัวหลุน  เป็นภาพใหม่ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้

จากเฟชบุ๊กของ กัวผิ่นเชา 郭品超 Dylan Guo ดีแลนกัว นักแสดงชาวไต้หวัน 


(ถ่ายที่นครเซินเจิ้นของจีน - ในงานเปิดตัวหนังเรื่องใหม่) 

  



  ขอบคุณทุกคลิกและทุกความเห็นตั้งแต่ตอนที่ 1 - ตอนปัจจุบัน

Flag Counter